ซึ่งร่องรอยของมนุษย์สมัยก่อนจะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วใน หลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านความรู้ความสามารถหรือภูมิปัญญา อาทิ เครื่องมือในการดำรงชีวิต และการสร้างสังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ได้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ที่ครอบคลุมไปถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกกว่าร้อยแห่ง โดยมีหลักฐานอ้างอิงถึงการอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นของมนุษย์มาหลายพันปี ด้วย เหตุนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จึงเป็นที่ยอมรับจากคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก (Unesco) ให้ขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกอันดับที่ 359 ในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็น "แหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียง" และนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดีอันดับที่ 4 ของประเทศไทย ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
อยู่ในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานี หนองประจักษ์เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่ก่อนตั้งเมืองอุดรธานี เดิมเรียกว่า"หนองนาเกลือ" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "หนองประจักษ์" เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมผู้ทรงก่อตั้งเมืองอุดรธานี ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 เทศบาลเมืองอุดรธานี ได้ทำการปรับปรุงหนองประจักษ์ขึ้นใหม่ เพื่อถวายเป็นราชสักการะแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยบริเวณตัวเกาะกลางน้ำได้จัดทำสวนหย่อมปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด และทำสะพานเชื่อมระหว่างเกาะมีน้ำพุ หอนาฬิกา และสวนเด็กเล่น แต่ละวันจะมีประชาชนเข้าไปพักผ่อนและออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก
ตั้งอยู่หลังสถานีรถไฟใกล้ตลาดหนองบัว ถนนนิตโย เป็นศาลเจ้าของชาวจีนที่ใหญ่โตและสวยงาม ภายในยังเป็นที่เก็บรักษามังกรยาวถึง 99 เมตร นอกจากนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่ ทีตีแป่บ้อ (ศาลเทพยดาฟ้าดิน), ปึงเถ่ากงม่า (เจ้าปู่เจ้าย่า), ศาลเจ้าพ่อหนองบัว, ตี่จู่เอี้ย (เจ้าที่เจ้าทาง), พระสังกัจจายน์ และฉั่งง่วนส่วย (องค์เทพที่เชี่ยวชาญในการปราชญ์) เป็นต้น